คลิกรูปปกหนังสือ เพื่อดาวน์โหลดอีบุ๊ค แต่ถ้ามีจำนวนเล่มเยอะ ให้คลิก link เลขที่เล่มด้านล่าง แทนรูปหน้าปกนะคะ
ลานดาว สาวสวย(เพิ่ง)โสดในคืนฉลองวันเกิด ดวงของเธอเคลื่อนเข้าสู่ปีชง
มีเหตุให้ย้อนชาติภพไปโผล่ในยุคจีนโบราณ ยิ่งกว่านั้นยังไปอยู่ในร่างของ พระสนมหลิ่งชิง
หรือชงหรงแห่งตำหนักฉางหมินผู้มีชื่อเสียงดีงามเพรียบพร้อมไร้จุดด่างพร้อย
แต่ชงหรง(คนใหม่)กลับมาพร้อมสร้างชื่อเสียง(?)ให้ตำหนักฉางหมินกระฉ่อนวังยิ่งกว่าเดิม
นางทำเรื่องวุ่นชวนหัวหมุนน่าคลึงขมับ เพราะตั้งแต่หลังจากฟื้นขึ้นมาก็กลับกลายเป็นสนมเพี้ยนป่วนตำหนัก
ทั้งยังต้องพยายามดิ้นรนหาทางหนีการถวายตัวฮ่องเต้อย่างเอาเป็นเอาตาย
แต่ยิ่งหาทางหนีมากเท่าไหร่ เส้นด้ายแห่งโชคชะตาที่ผูกกันไว้กลับยิ่งรัดรึง
ให้เข้าไปอยู่ในสายตาของหมีหิมะผู้แสนเย็นชามากขึ้นทุกที…ทุกที…
องค์ฮ่องเต้ทรงยืนทอดพระเนตรท่าเต้นพิลึกพิลั่นของสนมผู้นี้อยู่
ราวกับกำลังโดนท่อนไม้ซัดเข้าที่พระเศียรของพระองค์เต็มแรง
มีแต่ความอื้ออึงเกิดขึ้นในความคิดของพระองค์
‘นะ…นั่น…นั่นนางทำท่าอะไรของนาง’
“นี่เจ้า!!!”
บุรุษหนุ่มรูปงามเข้ามาประจันหน้ากับดรุณีแรกแย้มในระยะเผาขน เนื่องด้วยทรงสงสัยที่มาของต้นเสียง
“กรี๊ด…อื้อ…”
ก่อนที่ลานดาวจะทันได้กรีดร้องมือหนาก็จัดการปิดปากนุ่มของเธอซะก่อน
ทว่าครู่ต่อมาหญิงสาวก็งับมือที่ปิดปากเธอแล้วกระโดดโหยงเว้นระยะห่างจากเขาออกมาเล็กน้อย
“คุณมาอยู่นี่ได้อย่างไง…เอ่อ…ข้าหมายถึงท่านเข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เธอเอานิ้วเกลี่ยผมที่เปียกทัดหูของตัวเองคิดว่าสภาพของตัวเองตอนนี้
คงไม่ต่างจากผีพรายน้ำมากนักเพราะผิวมือเริ่มเหี่ยวซีดเนื่องจากแช่น้ำเป็นเวลานาน
“เจ้าต่างหากเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร แล้วเหตุใดจึงทำกิริยาเช่นนี้ต่อหน้าเรา”
พระพักตร์ของพระองค์เรียบนิ่งมองนางด้วยสายตาอ่านยาก
เจ้ากรมโยธาหอบรายงานความคืบหน้าของการสร้างเขื่อนมารอเข้าเฝ้า
อยู่นอกตำหนักฉางตี้เนื่องจากองค์ฮ่องเต้รับสั่งว่าต้องการทอดพระเนตร
ความคืบหน้าและต้องการฟังรายระเอียดเรื่องงบที่ใช้ไปครั้งล่าสุดภายในวันนี้
โดยเจ้ากรมโยธาต้องรีบเร่งเดินทางจากหูจงเข้าวังเป็นการด่วน
องค์ฮ่องเต้ทรงหยิบและวางฎีกาอยู่หลายครั้งเปิดอ่านได้เพียงครู่เดียวแล้วก็พับเก็บ
แล้วก็เปิดใหม่ครู่ต่อมาก็พับเก็บเช่นเดิม
“ทูลฝ่าบาทท่านเจ้ากรมโยธารอเข้าเฝ้าอยู่หน้าตำหนักมาสองชั่วยามแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทรงพระราชทานอนุญาตให้ท่านเจ้ากรมเข้าเฝ้าเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
กู๋กงลองเกริ่นอีกครั้งหลังจากที่กราบทูลการมาถึงของเจ้ากรมโยธาไป
ตั้งแต่ช่วงเช้าแต่เห็นองค์ฮ่องเต้ยังคงนิ่งเฉยไม่ทรงเรียกท่านเจ้ากรมให้เข้ามาเสียที
“เราว่า เราไปดูนางสักหน่อยดีกว่า เหตุในช่วงนี้นางจึงเอาแต่นอนบ่อยนัก”
บุรุษหนุ่มตรัสไปคนละเรื่องกับที่กู๋กงกราบทูล ขันทีอาวุโสจึงหุบปากฉับ
ถือว่าประโยคที่ตนเอ่ยก่อนหน้านี้…เป็นลมอ่อนกำลังที่โชยผ่านหยกแกะสลัก
พระโพธิสัตว์กวนอิมไปก็แล้วกัน เพราะองค์ฮ่องเต้ไม่ได้ใส่พระทัยฟังเลยด้วยซ้ำ
เนื่องจากทรงคิดสงสัยเรื่องที่พระสนมหลิ่งชิงเอาแต่นอน นอน แล้วก็นอน
ร่างสูงสง่าขององค์ฮ่องเต้ยืดตัวขึ้นเพื่อเสด็จไปที่ตำหนักฉางหมิน
กู๋กงจึงรีบตารีตาเหลือกจัดขบวนเสด็จและให้ขันทีที่รับใช้อีกคนไปแจ้ง
ท่านเจ้ากรมโยธาให้อยู่รอจนกว่าองค์ฮ่องเต้จะเสด็จกลับมาและรอไปจนกว่ามีรับสั่งให้เข้าเฝ้า
ท่านเจ้ากรมจึงได้แต่รอไปเรื่อย ๆ ราวกับต้นไม้ที่จะงอกรากปักทิ่มลงไปในดิน